
ผ้าพระเวส วัดสีริไชโย บ้านท่าซะโน สปป.ลาว
แอดมินได้เดินทางไปชมผ้าพระเวสหรือผ้าผะเหวดของทาง สปป.ลาว ตามคำแนะนำของโปรเฟสเซอร์ชาวอเมริกันที่ท่านได้ข้อมูลจากพระอาจารย์ชาวไทยอีกทีว่ามีผ้าพระเวสโบราณอีกผืนที่งดงามอยู่ที่วัดฝั่งตรงข้ามกัน คนละฟากแม่น้ำโขง
เราขึ้นรถบัสออกจากสถานีรถประจำทางจังหวัดมุกดาหารด้วยตั๋วนั่งแต่ได้ยืนเพราะคนเยอะ ไปถึงด่านชายแดน ลงไปประทับตราพาสปอร์ตขาออกไทยและเข้าเมืองลาว การทำพิธีการผ่านแดนเรานำกระเป๋าลงจากรถไปด้วย เพราะถ้าเสร็จไม่ทัน รถบัสที่นั่งมาอาจไม่อยู่รอ ที่ฝั่งลาวนอกจากการประทับตราขาเข้าแล้ว ยังมีค่าธรรมเนียมอีก 100 บาท
จากนั้นเราก็ได้รถตู้ที่อยู่บริเวณด่านฝั่งลาว ลุงคนขับให้เหมาไปเที่ยวหลายวัดอยู่ที่ 800 บาท รถตู้ที่ดูเก๋าๆ พาล้อหมุนโยกเยกไปตามถนนหลุมบ่อฝุ่นตลบในเส้นทางรถบรรทุกนิยม แต่ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้เรามากนัก เพราะรถตู้มีแอร์เย็นพอใช้ได้เลยทีเดียว
เรามาถึงบ้านท่าซะโน ซึ่งเป็นหมู่บ้านตรงข้ามเป๊ะๆ ตามที่ได้ข้อมูลมา ไปวัดแรกไม่มีผ้าพระเวส ไปวัดที่สองคือวัดสีริไชโย เจ้าอาวาสติดกิจธุระที่วัดอื่น สามเณรช่วยโทรแจ้งว่ามีโยมมาขอดูผ้าพระเวส ท่านก็เมตตากลับมาหาผ้าพระเวสให้เรา ต้องกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ครูบาเอกกะพงเป็นอย่างสูงค่ะ
สำหรับผ้าผืนนี้ไม่ได้ถูกนำออกมาแห่งานบุญพระเวสทุกปี เพราะที่หมู่บ้านจะเวียนวัดจัดงาน กว่าจะวนมาถึงคิวของวัดนี้บางทีก็สามปี ทำให้ผ้าพระเวสที่วาดเมื่อปี พ.ศ.2500 หรือเกือบเจ็ดสิบปีที่แล้ว ยังดูมีสีสดใหม่ ประกอบกับเนื้อผ้าฝ้ายที่ทอไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ผ้าค่อนข้างแข็งแรงไม่มีรอยขาด ผ้าพระเวสผืนนี้เขียนเรื่องราวพระเวสสันดรยาวเกือบ 80 เมตร ซึ่งยาวกว่าผ้าพระเวสในภาคอีสานบ้านเรากว่าเท่าตัวเลยทีเดียว

ในช่วงสุดท้ายของผ้าพระเวสได้เขียนรายละเอียดเป็นอักษรลาวที่ใช้ในช่วงเวลานั้น โดยแปลเป็นไทยได้ว่า..
“ข้าพเจ้าท่านกุน นะเคียงจัน อยู่บ้านท่าซะโนใหญ่ ได้สร้างรูปพระเวสสันดร ไว้ในพระพุทธศาสนาหนึ่งจบ เพื่อให้หายบาปกรรม ที่ผู้ข้าได้กระทำมาแล้ว ขอคุณพระศรีรัตนไตร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง และคุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงอโหสิกรรม แก่ผู้ข้าด้วยเทอญ ขอให้ผู้ข้าจงมีแต่ความสุข ความเจริญ และเฉลียวฉลาดไปด้วยสติปัญญาที่สุจริตและถูกต้อง ถ้าว่าผู้ข้ายังเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสาร หรือ ชาติภพใดๆ ขึ้นชื่อว่า ความเข็ญใจ ไร้ทรัพย์ อับปัญญา ขออย่าให้มีแก่ผู้ข้าเลย สร้างปี พ.ศ.2500 ท่านจูม สุทุนัน แต้ม(วาด)”
แปล “อักษรธรรมลาว” เป็น “ภาษาไทย”
ในผ้าพระเวสผืนนี้ ผู้วาดใช้อักษรธรรมลาวเป็นตัวกำกับเรื่องราวแต่ละกัณฑ์เอาไว้ แอดมินได้พยายามทำการแปลเป็นภาษาไทยเพื่อความสะดวกในการชม อย่างไรก็ตามจะคงการใช้ชื่อกัณฑ์ตามการเขียนและอ่านออกเสียงในผ้าพระเวสผืนนี้ เพื่อเห็นความแตกต่างของการเรียกชื่อกัณฑ์ของแต่ละพื้นที่ ส่วนประโยคด้านในวงเล็บ จะเป็นการถอดอักษรธรรมลาวให้เป็นอักษรไทย
กัณฑ์ที่ 1 ทศพร


นางผุสดีขอพรทิพย์สิบประการกับพระอินทร์ เมื่อจะลงมาเกิด.
When she was about to be born, Nang Phusati asked Indra for ten divine blessings.
(อักษรธรรมเขียน: นางผุสสดีขอพอรทิบสิบประกานนำพรยาอีน เมือสิลงมาเกิด.)
ทศพร กัณฑ์ที่ 1
Chapter 1: Tot-sa-pawn
(อักษรธรรมเขียน: ทสสพร. กันที. ๑.)
กัณฑ์ที่ 2 หิมพานต์


หีมมะพราน กัณฑ์ที่ 2
Chapter 2: Him-ma-pran
(อักษรธรรมเขียน: หีมมะพราน กันที.๒.)
ฝูงชาวเมืองมาพูดให้แตกแยกว่า พระยาเวสสันดรทานช้างม้าสิ่งของ
A group of disgruntled residents came to tell the king that Prince Vessantara had given away elephants, horses, and other things.
(อักษรธรรมเขียน: ฝูงชาวเมิงมาสับสอวา พรยาเวสสทานชางม้าสีงของ)
กัณฑ์ที่ 3 ทานกัณฑ์

ทานะขัน กัณฑ์ที่ 3
Chapter 3: Tan-na-kan
(อักษรธรรมเขียน: ทานะขัน กันที.๓.)
ทานม้า
Giving horses.
(อักษรธรรมเขียน: ทานม้า)
ทานช้างให้พราหมณ์ทั้ง 8 แล
Giving an elephant to the eight brahmans.
(อักษรธรรมเขียน: ทานชางไหพรามทัง ๘. แล.)

พราหมณ์ทั้ง 8 ขอช้างได้แล้ว
The eight brahmans received the elephant.
(อักษรธรรมเขียน: พรามทัง ๘ ขอชางไดแลว)

พราหมณ์ขอม้าได้แล้ว
Brahmans received the horses.
(อักษรธรรมเขียน: พรามขอมาไดแลว)


พระยาเวสสันดรเดินป่า
Prince Vessantara walked in the forest.
(อักษรธรรมเขียน: พระยาเวสสเดิรป่า)
พราหมณ์ตามมาขอรถ
Brahmans came and asked for the chariot.
(อักษรธรรมเขียน: พรามนำมาขอรถ)
กัณฑ์ที่ 4 วนปเวศน์


วันนะพระเวส กัณฑ์ที่ 4
Chapter 4: Wan-na-pra-wayt
(อักษรธรรมเขียน: วันนะพรเวสส กันที ๔)

ชาวเมืองเจตราชมานิมนต์ให้เสวยราชบ้านเมืองตน ไม่รับ
The people of Jetarat came to invite him to rule their city, but he declined.
(อักษรธรรมเขียน: ชาวเมิงเจตตะราชมานีมนให้เสวยราชบานเมิงตน บอรับ)
กัณฑ์ที่ 5 ชูชก

ชูยชะกะ กัณฑ์ที่ 5
Chapter 5: Chui-cha-ga
(อักษรธรรมเขียน: ชูยชะกะ กันที. ๕.)


พราหมณ์เฒ่าชมเมีย
An elderly brahman praised his wife.
(อักษรธรรมเขียน: พรามเถาชมเมีย)

พราหมณ์มารับเมีย
The brahman came to get his wife.
(อักษรธรรมเขียน: พรามมารับเมีย)


งูให้ลาง(บอกเหตุ) พราหมณ์เดินป่า
A snake made an omen. The brahman walked in the forest.
(อักษรธรรมเขียน: งูให้ลางพรามเดิรป่า)
กัณฑ์ที่ 6 จุลพน




นายพรานเจตบุตรบอกทางพราหมณ์
The hunter Jetabut gave the brahman directions.
(อักษรธรรมเขียน: นายพานเจตตาบุดบอกทางพราม)

จุระพน กัณฑ์ที่ 6
Chapter 6: Ju-ra-pon
(อักษรธรรมเขียน: จุระพน กันที. ๖.)


กัณฑ์ที่ 7 มหาพน

พราหมณ์ถามทางกับฤษี
The brahman asked the rishi for directions.
(อักษรธรรมเขียน: พรามถามทางนำรึสี)

บอกทางพราหมณ์
He told the brahman the way.
(อักษรธรรมเขียน: บอกทางพราม)


มหาพน กัณฑ์ที่ 7
Chapter 7: Ma-ha-pon
(อักษรธรรมเขียน: มะหาพน กันที ๗)

กัณฑ์ที่ 8 กุมาร

กุมมาร กัณฑ์ที่ 8
Chapter 8: Gum-man
(อักษรธรรมเขียน: กุมมาร กันที. ๘.)
พราหมณ์ขอสองกุมาร
The brahman asked for the two children.
(อักษรธรรมเขียน: พรามขอสองกุมมาน)


พราหมณ์ตกเหว
The brahman fell into a gorge.
(อักษรธรรมเขียน: พรามตกเหว)
สองกุมารกลับคืน
The two children returned.
(อักษรธรรมเขียน: สองกุมมานกับคืน)

พราหมณ์มาขอเอาสองกุมาร
The brahman came to ask for the two children.
(อักษรธรรมเขียน: พรามมาขอเอาสองกุมมาน)

กัณฑ์ที่ 9 มัทรี




มะที กัณฑ์ที่ 9
Chapter 9: Ma-tee
(อักษรธรรมเขียน: มะที กันที. ๙.)
นางมัทรีถามหาลูก
Nang Matsee asks about her children.
(อักษรธรรมเขียน: นางมะทีถามหาลูก)
นางมัทรีสลบ
Nang Matsee fainted.
(อักษรธรรมเขียน: นางมะทีสะลบ)
นางมัทรีอนุโมทนากับลูกด้วย
Nang Matsee shared the merit made by her children.
(อักษรธรรมเขียน: นางมะทีอะนุโมทะนานำลูก)

กัณฑ์ที่ 10 สักกบรรพ

พระอินทร์นิมิตเป็นพราหมณ์มาขอเอานางมัทรี
Indra came as a brahman to take Nang Matsee.
(อักษรธรรมเขียน: พระยาอินนิมิตเป็นพรามมาขอเอานางมที)
สักกะบัน กัณฑ์ที่ 10
Chapter 10: Sak-ga-ban
(อักษรธรรมเขียน: สักกะบัน กันที. ๑๐.)

เทวดานิมิตเป็นพ่อและแม่มาให้นม
Devas took the form of the children’s father and mother and came to feed them.
(อักษรธรรมเขียน: เทวะดานิมิสสเป็นพอและแมมาสงนม)
กัณฑ์ที่ 11 มหาราช



มหาราช กัณฑ์ที่ 11
Chapter 11: Ma-ha-raht
(อักษรธรรมเขียน: มหาราด กันที. ๑๑.)


หามพราหมณ์
Carrying the brahman.
(อักษรธรรมเขียน: หามพราม)

เผาพราหมณ์
Burning the brahman.
(อักษรธรรมเขียน: เผาพราม)
กัณฑ์ที่ 12 สักกติ หรือ ฉกษัตริย์

สักกติ กัณฑ์ที่ 12
Chapter 12: Sak-ga-di
(อักษรธรรมเขียน: สักกติ กันที. ๑๒.)


กัณฑ์ที่ 13 นคร

นคร กัณฑ์ที่ 13
Chapter 13: Na-kawn
(อักษรธรรมเขียน: นะคร. กันที.๑๓.)
ช้างตัวนี้พระยาบูรมกับเมียขี่
Phraya Burom and his wife rode this elephant.
(อักษรธรรมเขียน: ชางโตนีเพียบูรมกับเมียขี)

พระเวสสันดรกับเมีย
Prince Vessantara and his wife.
(อักษรธรรมเขียน: พรยาเวสสกับเมีย)
ท้าวเมืองแสนกับเมีย
Thao Mueang Saen and his wife.
(อักษรธรรมเขียน: ทาวเมิงแสนกับเมีย)






ข้าพเจ้าท่านกุน นะเคียงจัน อยู่บ้านท่าซะโนใหญ่ ได้สร้างรูปพระเวสสันดร ไว้ในพระพุทธศาสนาหนึ่งจบ เพื่อให้หายบาปกรรม ที่ผู้ข้าได้กระทำมาแล้ว ขอคุณพระศรีรัตนไตร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง และคุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงอโหสิกรรม แก่ผู้ข้าด้วยเทอญ ขอให้ผู้ข้าจงมีแต่ความสุข ความเจริญ และเฉลียวฉลาดไปด้วยสติปัญญาที่สุจริตและถูกต้อง ถ้าว่าผู้ข้ายังเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสาร หรือ ชาติภพใดๆ ขึ้นชื่อว่า ความเข็ญใจ ไร้ทรัพย์ อับปัญญา ขออย่าให้มีแก่ผู้ข้าเลย สร้างปี พ.ศ.2500 ท่านจูม สุทุนัน วาด
I, Mr. Goon Na Kiang Jan from Ban Tha Sano Yai, have donated a Phra Vessantara painting to support Buddhism and to atone for my misdeeds. May the Triple Gem, all manner of sacred things, and my parents and teachers forgive me. May I have nothing but happiness, prosperity, and intelligence along with the wisdom to be honest and proper. If I remain in the cycle of rebirth or any other existence, may I never be miserable, poor, or foolish. Made in 1957 by painter Mr. Jum Suttunan.
(อักษรลาวเขียน: ข้าพะเจ้าท่านคุน นะเคียงจัน อยู่บ้านท่าซะโนใหญ่ได้ส้างฮูปพระเวดสันดอนไว้ในพระพุดทะสาสนาหนึ่งจบ เพื่อให้หายบาปกัม ที่ผู้ข้าได้กะทำมาแล้ว ขอคุนพระสีลัตะนะไตร สิ่งสักสิดทังหลายทังปวง และคุนบิดามานดา คุนคูบาอาจาน จ่งอาโหสิกัม แก่ผู้ข้าด้วยเฐิ้น ขอให้ผู้ข้าจ่งมีแต่ ความสุก ความจะเลิน และสะเหลียวสะหลาดไปด้วยสะติปันยา ที่สุดจะลิดและถืกต้อง ถ้าว่าผู้ข้ายังเวียนไว้ตายเกิด อยู่ในวัตะสงสาน หลือ ชาดพบใดๆ ขึ้นชื่อว่าความเข็นใจ ไร้ซับ อับปันยา ขออย่าให้มีแก่ผู้ข้าเลย. ส้างปี. พ.ส.2500. ท่าน จูม สุทุนัน แต้ม.)