
ปราสาทกลางน้ำ Sully-sur-Loire และอาหารแห่งชนชั้นของฝรั่งเศสในยุคกลาง
บันทึกการเดินทางเส้นทางจักรยาน EuroVelo 6 ในฝรั่งเศส และส่วนหนึ่งของเส้นทางคณะราชทูตอยุธยาโกศาปานไปปารีส พ.ศ.2229 (ตอนที่ 5)

ออกเดินทางในวันฝนตก…
เช้านี้ที่ตึกประตูน้ำของเมืองชาตียง-ซูร์-ลัวร์ (Châtillon-sur-Loire) หรือเมืองชาตียงริมแม่น้ำลัวร์ เราต้องรอจนฝนซา กว่าจะได้ไปก็เริ่มสาย แขกที่มาพักที่นี่ดูเหมือนทุกคนจะปั่นจักรยานมากันหมด
เราต่างคนก็ต่างจัดแจงเตรียมสัมภาระเพื่อออกเดินทาง แต่ละคนดูมีอุปกรณ์เสริมเพื่อกันฝน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแจ็คเก็ตกันฝน เสื้อกั๊กสะท้อนแสง กระเป๋าติดจักรยานกันน้ำ ส่วนผ้ากันฝนพลาสติกไม่เห็นใครใช้(แต่ฉันก็พกไว้) อุปกรณ์ทุกอย่างดูสรรหาเพื่อเตรียมรับศึกจากน้ำฝน
ดูแล้วการจะขายของนักปั่นจักรยานได้ วัสดุจะต้องมีความทนทานต่อสภาพอากาศทุกชนิดรวมถึงน้ำหนักเบาถึงจะขายดี


เราปั่นตามเส้นทางเล็กๆ ข้างคลองน้ำในป่า ตลอดทางเป็นธรรมชาติ ต้นไม้สีเขียวสดด้วยความชื้นของละอองน้ำฝน รอบตัวมีเหล่านกเกาะกิ่งไม้แต่ตาเล็งไปที่น้ำในคลองด้วยใจจดจ่อต่อปลาที่กำลังจะเป็นเหยื่อ
จากป่าก็ออกมาสู่แม่น้ำลัวร์อีกครั้ง เพื่อที่จะข้ามฟากไปอีกฝั่ง ซึ่งต้องใช้สะพานคลองน้ำข้ามฟากที่เขาใช้เดินเรือได้ชื่อว่า เบอริอา (Briare Aqueduct) ใกล้เมืองเบอริอา ที่สร้างขึ้นแทนเส้นทางประตูน้ำที่ปิดตัวลงของเมืองชาตียงฯ ที่เราพักเมื่อคืน










เราปั่นจักรยานมาถึงเมืองซูลลี ซูร์ ลัวร์ (Sully-sur-Loire) หรือเมืองซูลลีริมแม่น้ำลัวร์ อันเป็นที่พักของเราในวันนี้ ตลอดระยะทางราว 46 กม. ฝนตกปรอยเกือบทั้งวัน โชคดีอากาศไม่หนาวมาก และถึงมีลมบางช่วงก็ไม่แรงจนสะท้าน
เมืองซูลลีฯ มีปราสาทสำคัญที่อยู่กลางน้ำ เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 13 เป็นที่นิยมมาพักผ่อนของราชวงศ์และผู้มีชื่อเสียง ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งได้มีการนำสิ่งของต่างๆ เข้ามาจัดแสดงเพื่อให้มองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นสูง




สิ่งสำคัญที่ปราสาทมีโดดเด่นนอกจากเรื่องสถาปัตยกรรมของอาคารแล้ว คือการจัดแสดงที่ว่าด้วยเรื่องอาหารชนชั้นต่างๆ ซึ่งเรื่องดังกล่าวบวกกับความขาดแคลนอาหาร ทำให้ขนมปังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุสำคัญ ที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1789
ดูเผินๆ แค่เรื่องขนมปัง ทำไมกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้เล่า?
อารมณ์ของขนมปังนั้น ให้เทียบกับเรากินข้าว ซื้อข้าวใส่ถุงสิบบาท ถ้าไม่ได้เต็มถุงก็เริ่มเคือง วันไหนไม่มีข้าวตกถึงท้อง ก็ยังทนไม่ไหว ขนมปังเองก็ไม่ต่างกัน..
ฉันเองที่แต่ละมื้อพยายามหาของกินแบบมังสวิรัตน์ ซึ่งมีอะไรที่กินได้ไม่กี่อย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือขนมปังที่หาได้จาก “ร้านขนมปัง”
ร้านขนมปังที่นี่ขายแต่ขนมปังจริงๆ จังๆ เหมือนร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ได้ขายคู่กับกาแฟ ร้านขนมปังจะเน้นการอบขนมปังและมีขนมปังขายหลายๆ แบบ
น่าสนใจตรงที่ว่า ข้าวสาลีหรือธัญพืชอื่นๆ เมื่อผสมกับเกลือ น้ำ และยีสต์ที่ช่วยในการหมัก มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันมาก จนทำให้ขนมปังที่ได้บางชนิดก็เหมาะจะทานกับบางอย่าง หรือแม้จะทานแต่ขนมปังเองก็อิ่มท้องอย่างสบายแล้ว
สำหรับขนมปังในยุคกลางฝรั่งเศส ขนมปังเป็นมากกว่าอาหาร ส่วนประกอบในการทำขนมปังแสดงถึงฐานะและสภาพความเป็นอยู่ ชนชั้นสูงจะรับประทานขนมปังขาวจากข้าวสาลีชั้นดี ซึ่งอบแล้วจะมีกลิ่นหอมและเนื้อสัมผัสนุ่ม ส่วนคนยากจนวัตถุดิบจะเป็นข้าวสาลีผสมข้าวไรย์
ขนมปังที่ผสมข้าวไรย์นี้ ฉันได้มีโอกาสชิมอยู่ครั้งหนึ่ง พอเอาเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ได้กลิ่นออกสาบๆ เนื้อสัมผัสหยาบๆ จืดๆ ไม่ค่อยอร่อย ยุคนั้นก็คงจะเป็นของที่ถือว่าไม่ค่อยอร่อยเหมือนกัน
ตัดกลับมาที่ภาพปัจจุบัน ข้าวไรย์ดันตอบโจทย์สายสุขภาพได้ดีกว่า เพราะช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด มีกากใยสูง แถมราคาก็สูงกว่าข้าวสาลีซะอีก


การจัดโต๊ะอาหารอย่างหรูหรา ณ ห้องโถงขนาดใหญ่ของปราสาท ซึ่งครั้งหนึ่งห้องแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นห้องครัวขนาดใหญ่ ที่นี่ได้จัดโต๊ะที่ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดทำจากผ้าลินิน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เฉพาะชนชั้นสูงที่จะมีอยู่บนโต๊ะ แล้วก็จะมีผ้าคลุมอีกชั้นที่เรียกว่า ลงชิแอรค์ (longière) ทำจากผ้าลินินเช่นกัน ใช้เช็ดมือ เช็ดปาก เพราะสมัยนั้นไม่มีช้อนส้อม
ในส่วนของเนื้อสัตว์ ชนชั้นสูงจะทานเนื้อสัตว์ป่าที่ได้จากการล่า ซึ่งเป็นกิจกรรมของชนชั้นนี้ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจและความแข็งแกร่ง อาหารจานหลักในโต๊ะอาจมีเนื้อกวาง หมูป่า นกกระสา หรือไก่ฟ้า ฯลฯ เนื้อเหล่านี้จะใช้วิธีปรุงอาหารโดยการปิ้งย่าง
ส่วนชาวนาชาวบ้านจะทานพวกสัตว์เลี้ยง หมู วัว แกะ แต่เป็นพวกเนื้อเค็มและเนื้อวัวมากกว่า เพราะวัวเป็นสัตว์ที่เรียบง่ายสอดคล้องกับเงื่อนไขของวิถีชาวนา วิธีการปรุงอาหารจะใช้วิธีการต้ม ทานกันได้ทั้งบ้าน
นอกจากนี้อาหารยุคกลางยังมีความหลากหลายด้วยสี กลิ่น และรสชาติ มีไขมันต่ำ มีการใช้ซอสที่มีรสเปรี้ยวและเผ็ด
เครื่องเทศถูกใช้อย่างมากในยุคนี้ เพื่อทำหน้าที่ปรุงแต่งสีสันหรือเพิ่มรสชาติอาหาร แต่ด้วยความที่หายากและมีราคาแพง จึงสามารถใช้เป็นสกุลเงินแลกเปลี่ยนได้ เครื่องเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ อบเชย พริกไทย ขิง กระวาน และหญ้าฝรั่นที่มาจากประเทศที่ห่างไกล
พวกผักและผลไม้ คนยากจะมีผัก เช่น กะหล่ำปลี กระเทียมหอม ผักอบแห้ง ฯลฯ ส่วนใหญ่ใช้ทำซุป
ผลไม้หายากและราคาแพง มักจะอยู่บนโต๊ะของขุนนางมากกว่า
ในส่วนของเครื่องดื่มนั้น ในยุคกลางจะดื่มไวน์เป็นหลัก เด็กจะดื่มนมถึงประมาณห้าขวบแล้วก็ดื่มไวน์และน้ำ การดื่มน้ำเป็นเรื่องน่ากลัวเพราะไม่ค่อยมีน้ำให้ดื่มและยังทำให้เกิดโรคได้ การดื่มไวน์คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 ลิตรต่อวันต่อคน
ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ ที่นิยมบริโภคในท้องถิ่นก็มี ไซเดอร์ เบียร์ หรือเพอร์รี่ (perry)
และถ้าจำกันได้ในบทความก่อนหน้าได้พูดถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ขุนนางจะส่งคนมาเอาน้ำเพื่อไปดื่ม แม้ว่าจะอยู่ในที่ห่างไกลแค่ก็ตาม น้ำสะอาดที่ดื่มได้แถมรสชาติดีถือว่าเป็นที่สิ่งพิเศษและหายากสำหรับยุคนี้
….
ที่พักของเราวันนี้อยู่ไม่ไกลจากปราสาทชื่อว่า Hostellerie du Grand Sully เป็นที่พักที่ดูโบราณ (ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้อยู่แล้วเพราะเก่า หรือตั้งใจตกแต่งแบบวินเทจ) แต่แม้จะดูเก่าก็ไม่มีกลิ่นอับของพรมเลย ที่นี่มีอาหารเช้า รวมถึงมีที่เก็บจักรยานด้วย




นอนสบายไปอีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้เราจะเข้าสู่บริเวณเมือง Orléans ใครรอติดตามชมเมืองในเส้นทางแม่น้ำลัวร์ที่คณะราชทูตอยุธยาโกศาปานใช้ไปปารีส จากนี้ไปก็น่าจะเริ่มเห็นบรรยากาศเส้นทางดังกล่าวแล้ว.
……………
อ่านตอนที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7,…
- หมายเหตุ คำอ่านชื่อในภาษาฝรั่งเศสที่พยายามลงเป็นคาราโอเกะไว้ อาจจะไม่ตรงนัก ผู้เขียนไม่ได้สันทัดภาษาฝรั่งเศส พยายามแกะคำอ่านจากที่ได้ยิน