
จิตรกรรมฝาผนังวัดใหม่เทพนิมิตร กรุงเทพมหานคร
วัดใหม่เทพนิมิตร ไม่ปรากฏปีการสร้างวัด ในส่วนของภาพจิตรกรรมฝาผนังสันนิษฐานว่าอยู่ในช่วงปลายสมัยอยุธยา และมีการซ่อมแซมภาพในสมัยรัตนโกสินทร์
หากมีโอกาสไปชมจิตรกรรมฝาผนังของวัดใหม่เทพนิมิตร แอดมินใคร่ขอแนะนำหนังสือ วัดใหม่เทพนิมิตร ชุดจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย โดย สำนักพิมพ์เมืองโบราณ ปี พ.ศ.2526 เพราะได้ให้ข้อสังเกตและความรู้ในงานศิลปะของอยุธยาและรัตนโกสินทร์ที่แตกต่างกันอย่างละเอียด และมีการเปรียบเทียบกับวัดต่างๆ ให้ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น สำหรับท่านใดสนใจเพิ่มเติม หาอ่านได้ที่ หอสมุด ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และหอสมุดในมหาวิทยาลัยต่างๆ
สำหรับบทความนี้ แอดมินได้มีโอกาสไปเที่ยววัดเลยนำมาลงไว้ และจะอธิบายบทความนี้โดยใช้อ้างอิงข้อมูลจากหนังสือเล่มดังกล่าว เผื่อใครสนใจหรืออยู่ระหว่างเยี่ยมชมจะได้อ่านดูกันง่ายๆ
ภาพวาดในอุโบสถ ส่วนผนังต่างๆ เป็นภาพพุทธประวัติ ทศชาติชาดก (ปัจจุบันภาพเลือนลาง เหลือเพียงไม่กี่เรื่อง) เฉพาะเรื่องเวสสันดรชาดกมีภาพรายละเอียดอยู่หลายตอน ภาพเทพชุมนุม ภาพไตรภูมิ(ด้านหลังพระประธาน) ภาพวาดเทวดาที่บานหน้าต่าง และทวารบาลที่บานประตู
ก่อนการชมภาพจิตรกรรม แอดมินใคร่ขอนำคำนำจากหนังสือวัดใหม่เทพนิมิตรมาแสดงไว้ เพราะให้ความรู้และข้อสังเกตงานจิตรกรรมสมัยอยุธยาในวัดแห่งนี้อย่างน่าสนใจ
คำนำ
(หนังสือวัดใหม่เทพนิมิตร ชุดจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย)
ศิลปะอยุธยานั้นประกอบด้วย
- สถาปัตยกรรมภายนอกเป็นสมัยอยุธยาแท้ และยังไม่ถูกซ่อม หรือถูกซ่อมก็ไม่เสียทรวดทรง
- โครงสีของจิตรกรรมอยุธยา มักจะลงพื้นด้วยสีขาว แล้วเขียนด้วยเทคนิคสีบางลงไปบนพื้นขาว บางทีก็เว้นสีพื้นให้เห็น (บางตอนใช้กรรมวิธีแบบเขียนลงไปบนสมุดข่อยพื้นสีขาว) ใช้ระบบเดียวกับสีน้ำ
กรรมวิธีการเขียนสีฝุ่นในสมัยรัตนโกสินทร์ ผิดแผกไปจากวิธีเขียนแบบอยุธยา กล่าวคือสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ตอนต้น เช่นที่วัดราชสิทธารามก็ดีหรือที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์(ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ) ก็ดี จะใช้สีสดๆ มาผสมสีขาว เพื่อให้เนื้อสีหนา เหมาะที่จะเขียนลงไปบนพื้นเข้ม
เทคนิคการเขียนวิธีนี้คือ จิตรกรจะลงพื้นขนาดเข้มไว้กลางๆ เสียก่อน เช่น สีพื้นข้างในปราสาทเป็นสีแดง หรือสีพื้นดินข้างนอกอาคารใช้สีน้ำตาลหนักๆ แล้วก็เขียนต้นไม้กับท้องฟ้าด้วยสีค่อนข้างจะหนักกว่าอยุธยา เมื่อจะร่างภาพคนหรือสิ่งอื่นๆ ที่อยู่บนสีพื้น เขาจะร่างบนกระดาษข่อย แล้วใช้เข็มปรุเอาเขม่าสีดำตบลงไปบนพื้นแดงหรือพื้นอื่น ส่วนใดที่เข้มจัด เช่น สีดำ หรือสีน้ำตาลไหม้ ก็จะตบด้วยฝุ่นสีขาวเพื่อให้เส้นเด่นชัด แล้วเอาสีขาวเป็นหลักผสมสีสดให้เป็นสีอ่อนแต่ข้น จึงอาจทับลงบนพื้นสีหนักได้ แล้วจึงปิดทองในส่วนอันเป็นเครื่องประดับ จากนั้นก็ตัดเส้น
ส่วนเทคนิคของสมัยอยุธยา มิได้เป็นเช่นนี้ ดังเราจะเห็นจากที่ผนังวัดช่องนนทรีและวัดพุทไธสวรรย์ จ.อยุธยา เขียนลงบนพื้นผนังด้วยสีสด ตรงไหนจะให้เป็นสีอ่อนก็จะผสมน้ำมาก ระบายให้จางๆ เป็นน้ำหนักอ่อนแก่ บางทีก็เกิดค่าคล้ายกับสีๆ เดียว จากนั้นก็ตัดเส้นด้วยสีหนักทับลงไป
วัดใหม่เทพนิมิตรก็คงเขียนด้วยกรรมวิธีแบบอยุธยา คือเขียนด้วยสีบางๆ ลงบนพื้นขาว แต่ตอนที่ชำรุดจะเห็นร่องรอยของจิตรกรรมโกสินทร์ซ่อมเพิ่มเติมเข้าไปบ้าง
3. ศิลปะอยุธยามักจะมีลักษณะตกแต่งเข้าผสมด้วย ดังภาพเขียนของวัดช่องนนทรี ตรงส่วนใดเป็นท้องฟ้าว่าง ก็จะมีดอกดวงหรือกนกแทรกไว้ เป็นลักษณะของตัวลาย มิให้เกิดช่องไฟว่างเกินไป หรือถ้าจะเขียนต้นไม้ ก็จะทำแบบจีน คือทำคดโค้งให้เข้ากับเส้นคดโค้งของภูเขา ดังภาพเขียนวัดพุทไธสวรรย์ที่อยุธยา เป็นต้น
ที่วัดใหม่เทพนิมิตรนี้ก็เช่นเดียวกัน มีบางตอนเราเห็นได้ชัดว่ามิได้ปล่อยว่าง แต่ได้ใส่ดอกไม้หรือลายลงไป สิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาคือการซ่อมของคนรุ่นหลังที่เราคงเห็นการเขียนต้นไม้ใบไม้แบบมีแสงเงา แต่ยังมีบางส่วนที่คงตัดเส้นใบไม้ต้นหญ้าดอกหญ้า โขดหิน ส่ำสัตว์ต่างๆ เป็นลักษณะคล้ายกับภาพเขียนที่สมุดข่อย วัดหัวกระบือ ธนบุรี อย่างมาก
4. ระเบียบ เรื่องราวของภาพเขียนอยุธยาตอนปลาย คงคล้ายกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นทุกอย่าง เช่น ผนังด้านข้างเหนือหน้าต่างเป็นเทพชุมนุม ผนังด้านหลังเป็นไตรภูมิ ผนังด้านหน้าเป็นมารผจญ คตินี้จะเห็นว่ารัตนโกสินทร์ตอนต้น ถือเคร่งมาก แต่ทว่าสมัยอยุธยาบางทีก็เพี้ยนไปบ้าง ข้อนี้พึงน่าสังเกตอย่างยิ่ง สำหรับวัดใหม่เทพนิมิตรนี้ นับว่าเป็นแบบฉบับที่ดีของรัตนโกสินทร์โดยแท้
จากข้อสังเกต 4 ประการนี้ เราจะใช้ในการวินิจฉัยข้อแตกต่างระหว่างจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ได้เป็นอย่างดี สำหรับวัดใหม่เทพนิมิตรนี้ มีข้อที่ควรจะแถลงให้ทราบว่า
ตามกฎข้อที่ 1 เมื่อได้เห็นสถาปัตยกรรมคือ อุโบสถ กับสิ่งแวดล้อมเช่น ซุ้มเสมา และกำแพงแก้วนั้น ไม่มีปัญหาอะไรเลย ด้วยเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย เข้าใจว่าจะเป็นสมัยพระเจ้าบรมโกศ คือ เป็นงานรุ่นหลังจากอุโบสถวัดช่องนนทรี
ตัวอุโบสถ เป็นแบบวัดบรมพุทธราราม ในอยุธยา คือ มีชาลาหน้าหลัง มีมุข และมีเสาหน้าบันจำหลักไม้สมัยอยุธยา สวยงามมาก ซุ้มเสมามียอดทรงเจดีย์ที่เป็นแบบอยุธยาอันงามพิเศษและคติระบบสถาปัตยกรรมอยุธยาที่สำคัญที่สุดก็คือ จะต้องมีเจดีย์หรือปรางค์เล็กอยู่ตรงมุมกำแพงแก้วด้านใน 4 มุม เช่นดียวกับวัดทองในคลองบางพรหม ธนบุรี และวัดอื่นๆ สมัยอยุธยาตอนปลายทั่วไป
ภาพจิตรกรรมที่นี่แม้จะมีร่องรอยการซ่อมแซมในสมัยรัตนโกสินทร์บ้างบางตอน แต่ท่วงทีของศิลปะอยุธยา ก็ยังเปล่งแววให้เห็นอยู่ทั่วไป มิได้ถูกทำลายเสียหมด
ขอให้สังเกตภาพมารผจญ ซึ่งแม้จิตรกรรัตนโกสินทร์ตอนต้นเข้าไปแตะต้องบ้าง แต่ส่วนใหญ่นับว่าเป็นศิลปะอยุธยาโดยแท้ ตรงเหนือภาพมารผจญบนสุด จะมีเส้นหยักของสินเทาเหนือสีแดงฉานของสีดินแดง เป็นรูปเทวดาในท่ากำลังหวั่นไหว ตื่นตะหนก อย่างน่ากลัว ฉัตรล้มระเนระนาด พื้นฟ้าระบายด้วยสีม่วงอ่อนๆ บนช่องว่าจะมีดอกไม้ และใบไม้ร่วง ลักษณะเช่นนี้เป็นศิลปะอยุธยาชัดเจนมาก
รูปคนและท่าทางที่เยื้องกรายของศิลปะอยุธยานี้ เป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไปเสียมิได้ เพราะแท้จริงคือหัวใจ และคือคุณลักษณะของจิตรกรรมหรือเส้นของอยุธยาแท้ๆ เราจะหาดู ณ แห่งอื่นที่งามยิ่งกว่านี้ได้ยาก (คำนำ, หนังสือวัดใหม่เทพนิมิตร ชุดจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย โดย สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, พ.ศ.2526)
……..
สำหรับบทความนี้ แอดมินนำเสนอเฉพาะเรื่องราวของแต่ละภาพที่ยังเหลืออยู่โดยสังเขป
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดใหม่เทพนิมิตร
ผนังด้านหลังพระประธานเป็น “ภาพไตรภูมิ” ตามคติความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในสัณฐานของโลกอันประกอบด้วย 3 ภพภูมิ ได้แก่ กามภูมิ (ภพภูมิของกาม), รูปภูมิ (ภพภูมิของพรหมที่มีรูป) และอรูปภูมิ (ภพภูมิของพรหมที่ไม่มีรูป) โดยภาพอธิบายลักษณะจักรวาลตามคติพราหมณ์-พุทธ ที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง และมีการแบ่งชั้นต่างๆ ของจักรวาลอย่างละเอียด (ในหนังสือวัดใหม่เทพนิมิตรฯ เขียนว่า โครงสีเป็นสีอ่อนออกชมพูม่วง ฝีมือค่อนข้างหยาบ เข้าใจว่าจะถูกซ่อมในช่วงหลัง)







ภาพวาดทศชาติชาดก
เรื่องสุวรรณสามชาดก มีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้
สุวรรณสามเป็นบุตรของทุกูลดาบสและปริกาดาบสินี ท้าวสักกะเทวราชเห็นว่าจะมีภัยต่อดาบส เพื่อให้มีบุตรคอยดูแลในวันข้างหน้า จึงทรงให้ทุกูลดาบสเอามือลูบท้องปริกาดาบสินี จากนั้นนางก็ได้ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรผิวดุจทอง จึงให้ชื่อว่า สุวรรณสาม
สุวรรณสามเมื่ออายุได้ 16 ปี วันหนึ่งพ่อแม่ออกไปหาผลไม้ ฝนตกจึงได้แวะพักข้างจอมปลวก บริเวณนั้นมีงูพิษ ทั้งสองจึงโดนพิษงูจนตาบอดสนิท ทำให้สุวรรณสามได้ปรนบัติรับใช้พ่อแม่เรื่อยมา
แล้ววันหนึ่งท้าวปิลยักขราช ราชาแห่งพาราณสีเสด็จออกมาล่าสัตว์ เห็นท่าน้ำมีรอยเท้าเนื้อเต็มไปหมดจึงซุ่มรอยิง สุวรรณสามมาตักน้ำเป็นปกติท่ามกลางฝูงเนื้อที่ติดตามมา ท้าวปิลยักขราชยิงธนูไปโดนสุวรรณสาม ก่อนสุวรรณสามตายจึงได้เล่าเรื่องภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ของตน แล้วตายไป
ท้าวปิลยักขราชรู้สึกผิด จึงเสด็จไปอาศรมยอมสารภาพกับบิดามารดาสุวรรณสาม ทั้งสองโศกเศร้ามาก แต่ก็ไม่ยอมให้ท้าวปิลยักขราชมาปรนนิบัติ ได้แต่ขอให้พาไปยังศพสุวรรณสาม จากนั้นก็ร้องไห้คร่ำครวญ และพากันอธิษฐานขอให้ลูกฟื้น เทวดาก็ได้อธิษฐานช่วย จนทำให้สุวรรณสามพื้นชีพคืนมา

ท้าวปิลยักขราชทรงได้ประจักษ์ว่า ความกตัญญูต่อบิดามารดา แม้เทพยดาก็ยังอุปถัมภ์ค้ำชูเยียวยาให้หายได้ จึงยึดสุวรรณสามเป็นสรณะ
สุวรรณสามได้ถวายโอวาท จากนั้นท้าวปิลยักขราชก็เสด็จกลับบ้านเมืองครองราชย์โดยธรรม บำเพ็ญกุศลต่อเนื่อง ส่วนสุวรรณสามเมื่อสิ้นอายุขัยก็ได้ไปเกิดเป็นพรหมอยู่ที่พรหมโลก
พระเนมิราชชาดก มีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์ คือ พระเนมิราช ได้เป็นพระราชาผู้ทรงธรรมและมีกุศลทานแก่ชาวเมืองทั้งปวง วันหนึ่งพระองค์เกิดความสงสัยขึ้นว่า ทาน กับ พรหมจรรย์ (พรหมจรรย์ หมายถึง ปรมัตถ์ หรือการถือพรต บางอย่าง เช่น ยกเว้นเมถุน) อย่างไหนมีอานิสงส์มากกว่า

พระอินทร์หรือท้าวสักกะเทวราชจึงเสด็จลงมาตอบปัญหาว่า การประพฤติพรมจรรย์ย่อมทำให้หลุดพ้น แต่การทานไม่ได้ทำให้หลุดพ้น
ต่อมาเหล่าเทวดาได้ขอให้ท้าวสักกะเทวราชเชิญพระเนมิราชขึ้นมาเที่ยวชมเทวโลก ท้าวสักกะเทวราชจึงได้ให้มาตลีเทพสารถีนำพระเนมิราชขึ้นราชยาน โดยทางที่จะไปนั้นมีสองทาง ทางหนึ่งผ่านสถานที่อยู่ของเทวดาผู้มีกรรมอันงาม และอีกทางคือได้เห็นสถานที่อยู่ของสัตว์นรก โดยพระเนมิราชก็ได้ผ่านทั้งสองทาง ซึ่งมาตลีเทพก็ได้อธิบายถึงกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำมาแต่หนหลัง ซึ่งนำมาสู่การเกิดในที่ตามกรรมของตน
เมื่อพระเนมิราชกลับสู่บ้านเมือง จึงทรงตรัสสอนราษฎร หากอยากอยู่ในวิมานก็ให้บริจาคทาน ประพฤติศีล ปฏิบัติธรรม เมื่อถึงกาลที่พระองค์ทรงมีผมหงอกเส้นแรก ก็ได้ทรงออกบรรพชาจนสำเร็จอภิญญาสมาบัติ เมื่อสวรรคตก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก
พระพรหมนารทชาดก มีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้
ในอดีตกาล เมืองมิถิลา มีพระเจ้าแผ่นดินชื่อว่า พระเจ้าอังคติราช เป็นกษัตริย์ที่ปกติตั้งมั่นในธรรม มีพระราชธิดานามว่า รุจาราชกุมารี ทรงพระราชทานสิ่งของและพระราชทรัพย์ให้พระธิดาไว้บริจาคอยู่บ่อยๆ แต่แล้ววันหนึ่งใคร่อยากทำอะไรพิเศษหน่อย จึงได้ปรึกษาอำมาตย์ อำมาตย์แนะนำให้ไปหาพราหมณ์ผู้มีศีลเพื่อสนทนาธรรม

เมื่อไปถึงก็ทรงถามปัญหาธรรมยากๆ แก่คุณาชีวก ซึ่งก็จนปัญญาตอบ จึงบรรยายธรรมที่บิดเบือนไป เช่น บาปบุญไม่มี โลกหน้าไม่มี ทุกคนเสมอกันหมด ทานหรือผลของทานไม่มี ใครฆ่าใครหรือเบียดเบียนใครก็ไม่บาป และสัตว์ทุกพวกจะบริสุทธิ์เองเมื่อท่องไปในสงสารวัฏ 84 กัลป์ เป็นต้น
พระเจ้าอังคติราชได้ฟังก็คล้อยตาม จนเลิกสนใจทำบุญ พระธิดาจึงได้อธิษฐานขอให้เทวดามาช่วยให้พระเจ้าอังคติราชพ้นจากมิจฉาทิฐิ
ขณะนั้นพระพรหมนารทตรวจดูโลก จึงได้เหาะแปลงเป็นนักบวชหาบสาแหรกอันมีของมีค่าได้แก่ภาชนะทองและคณโฑ ลงมาให้พระเจ้าอังคติราชเห็น
พระเจ้าอังคติราชเมื่อได้เห็นก็ประทับใจจึงถามว่าทำไมถึงมีฤทธิ์ พระพรหมนารทจึงทูลว่าบำเพ็ญธรรม 4 ประการ ได้แก่ สัจจะ ธรรมะ ทมะ และจาคะ ไว้ในชาติก่อน บุญจึงส่งผลในชาตินี้ แล้วจึงอธิบายเรื่องโลกนี้โลกหน้า เรื่องบุญและกรรม
พระเจ้าอังคติราชได้ฟังก็เกิดกลัวกรรมในนรก จึงทรงขอร้องให้พระพรหมนารทบอกทางไปสวรรค์ พระพรหมนารทจึงได้แสดงธรรมถวาย จากนั้นพระเจ้าอังคติราชก็ละเว้นจากมิจฉาทิฐิและตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิ ปกครองบ้านเมืองด้วยความผาสุขจนตลอดชีวิต
พระเวสสันดรชาดก มีเนื้อหาโดยสังเขปดังนี้
ครั้งหนึ่งเมื่อพระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นพระราชโอรส พระนามว่า พระเวสสันดร พระเวสสันดรเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแพร่ ชาวเมืองต่างอยู่ด้วยความเป็นสุข กระทั่งท่านได้พระราชทานช้างเผือกให้แก่เมืองอื่นที่แห้งแล้ง เพื่อให้ฝนตก ทำให้ประชาชนในเมืองของพระองค์โกรธมาก
พระบิดาจึงจำเป็นต้องเนรเทศพระเวสสันดรและครอบครัว ให้ไปอยู่ในเขาวงกตที่รายล้อมด้วยป่าหิมพานต์
ต่อมาไม่นานพระเวสสันดรก็ได้ให้ลูกกับชูชกที่มาหลอกเอาไปเป็นทาส และให้เมียแก่พราหมณ์ผู้มาขอ ตามที่ได้ตั้งสัจจะบำเพ็ญเรื่องทานเอาไว้
ท้ายที่สุดพระอินทร์ก็ได้ช่วยให้ครอบครัวกษัตริย์ทั้งหมดได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง เช่นเดียวกับช้างมงคลก็ได้กลับคืนสู่เมืองเพราะได้ช่วยเหลือให้ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาแล้ว และพระเวสสันดรก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ต่อไป





….
สำหรับเรื่องอื่นๆ ในทศชาติชาดก เนื่องจากภาพไม่ชัดเจน แอดมินจึงขออภัยที่ไม่ได้แสดงเนื้อหาไว้ ณ ที่นี้.