ปั่นตะลุยญี่ปุ่นฤดูใบไม้ผลิ: หมู่เกาะตอนใต้ จังหวัดฮิโรชิมะและจังหวัดเอฮิเมะ 3 คืน 4 วัน (ตอนที่ 1)

ปั่นตะลุยญี่ปุ่นฤดูใบไม้ผลิ: หมู่เกาะตอนใต้ จังหวัดฮิโรชิมะและจังหวัดเอฮิเมะ 3 คืน 4 วัน (ตอนที่ 1)

เส้นทาง Beyond the Shimanami Kaido

หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ ทิวซากุระบานบนไหล่เขา เซลฟี่กับส้มเต็มสวน ลิ้มรสขนมพื้นเมืองถึงถิ่น ทำบุญในวัดเล็กแสนสงบ จิบชาร้อนที่เรียวกัง”

แผนที่เส้นทาง คลิ๊ก Beyond the Shimanami Kaido · Ride with GPS

เมืองโอโนมิจิเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางจักรยานที่มีชื่อเสียงคือ ชิมะนะมิไคโด (Shimanami Kaido) นักท่องเที่ยวนิยมปั่นเส้นทางนี้กันมาก เพราะเส้นทางไม่ไกล ถนนดีมาก ได้อยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่สวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างดี และยังสามารถเช่าจักรยานได้ในราคาไม่แพง

แต่การเดินทางครั้งนี้ เราจะอยู่ในเส้นทางชิมะนะมิไคโดเป็นบางครั้ง..

อธิบายคร่าวๆ ถึงเส้นทางชิมะนะมิไคโดก่อน เส้นทางนี้จะเชื่อมต่อระหว่างเมืองโอโนมิจิกับเมืองอิมาบาริ (Imabari) ซึ่งปกติรถยนต์จะใช้ทางไฮเวย์ และสะพานข้ามแต่ละเกาะ

แต่นอกจากสะพานจะบริการรถยนต์แล้ว ยังมีการทำทางสำหรับจักรยานและคนเดินเพื่อการท่องเที่ยวอีกด้วย เป็นเส้นทางจักรยานท่องเที่ยวที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่น

ในเส้นทางชิมะนะมิไคโดจะมีร้านจักรยานให้เช่าอยู่หลายจุด สามารถปั่นชมความสวยงามของหมู่เกาะต่างๆ ที่อยู่ภายในทะเลเซโตะ (Seto Inland Sea) ซึ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเกาะฮอนชู (Honshu) ที่เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงโตเกียว, เกาะชิโกะคุ (Shikoku) และเกาะคิวชู (Kyushu) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น

เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น
(Photo from Wikimedia Commons.)
วงกลมสีแดงคือตำแหน่งบริเวณหมู่เกาะที่ปั่นจักรยาน แผนที่ท่องเที่ยวของเส้นทางจักรยานมีทั้งแบบทางสั้น ทางยาว และรอบเกาะต่างๆ สามารถเข้าดูแผนที่เส้นทางชิมะนามิไคโด ได้ที่ Shimanami Japan

เส้นทาง“บียอน ชิมะนะมิไคโด”

ก่อนออกเดินทาง สามีของผู้เขียนได้สำรวจและค้นหาเส้นทางใหม่อย่างละเอียด ใช้เวลาวิจัยพอสมควร เนื่องจากเส้นทางชิมะนะมิไคโดมักอยู่ใกล้ถนนสายหลัก แต่พวกเรามักชอบเส้นทางเล็กที่เงียบสงบ
หลังจากจบทริป เราเลยได้แผนที่ของเส้นทางที่งดงามและน่าจดจำอีกเส้นหนึ่ง ท่านที่สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Beyond the Shimanami Kaido

Beyond the Shimanami Kaido แนะนำโดย Tim Bewer (แผนที่เส้นทางคลิ๊กที่นี่)

เส้นทางบียอนฯ นี้ จะมีทั้งเลาะเกาะ ขึ้นเขา ปั่นข้ามสะพานที่มีชื่อเสียง ปั่นเลียบชายทะเล ลงเรือเฟอรี่ ผ่านหมู่บ้านเก่าแก่ที่ยังมีบ้านโบราณญี่ปุ่นหลงเหลืออยู่ ผ่านเรือกสวนไร่นาสวนเกษตร ซึ่งเกาะทางตอนใต้ผลผลิตทางการเกษตรอย่างส้มและเลม่อนจะมีชื่อเสียงมาก มีโอกาสแวะร้านผลิตภัณฑ์ชุมชน แถมถ้ามาช่วงซากุระบาน (ต้นเดือนเมษายนที่เรามาปั่น ซากุระกำลังสวยมาก) ได้บรรยากาศกลีบซากุระที่ปลิดปลิวลอยละล่องไปตามพื้นผิวถนน

ข้อแนะนำการปั่นจักรยานเส้นทางนี้..

  • ศึกษาเส้นทางก่อนไป เพื่อวางแผนที่พักและอาหารการกินตามกำลังขา และความชิวการใช้เวลาในแบบที่ชอบ
  • หากใช้เส้นทางบียอนฯ ควรจองโรงแรมก่อนเดินทางเพราะมีน้อย ปั่นให้ถึงที่พักก่อนมืดเพราะหมู่บ้านอยู่ห่างๆ กัน
  • ร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อระหว่างทางมีน้อย แถมมีในแผนที่แต่ปิด สำรองอาหารและขนมจากเมืองที่เข้าพัก หรือเมืองใหญ่ที่จะผ่าน
  • น้ำดื่มจะมีตู้กดซื้อน้ำเป็นระยะตามริมถนนใกล้หมู่บ้าน ราคาขวดเล็กประมาณ 110-150 เยน ที่พักส่วนใหญ่น้ำก๊อกสามารถดื่มได้ ควรมีขวดน้ำสำรองอย่างน้อย 1 ลิตร เพราะถ้าขึ้นเขาไม่มีตู้กดน้ำ
  • พกเหรียญไปด้วยจะสะดวกมาก ใช้ได้ทั้งหยอดตู้น้ำ จ่ายค่าเรือข้ามฟาก ใช้กับร้านสะดวกซื้อท้องถิ่น จนถึงทำบุญที่ศาลเจ้า
  • เตรียมอุปกรณ์สำหรับซ่อมจักรยาน เช่น ปั๊มลมเล็ก ชุดปะยางขนาดพกพา กระดาษทรายไว้ขัดยางก่อนปะ ถุงพลาสติกสำหรับใส่น้ำเช็คลมที่รั่ว หากไม่สามารถทำได้เอง อย่าลืมถ่ายเบอร์โทรของร้านไว้กรณีฉุกเฉิน
  • เส้นทางบียอนฯ จัดอยู่ในระดับการปั่นที่ไม่ยาก ไม่ลำบาก เข็นขึ้นเขาไม่ยาว ลงเขาสนุก
  • หากปั่นตลอดเส้นทางบียอนฯ เหมาะสำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ขาลงเขาชันไม่เหมาะกับเด็กเล็ก ยกเว้นจุดชมวิวบริเวณสะพานบางแห่งเป็นสวนสาธารณะ ทางจักรยานค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นลงไม่ชัน สามารถปั่นชมได้ทุกวัย ถ้าหัวเข่ายังดี
ตู้อัตโนมัติเกือบทั้งหมดเห็นมีแต่ตู้เครื่องดื่ม แทบไม่เจอตู้กดอาหารหรือขนมนอกจากที่สนามบิน
เงินต่างๆ ของญี่ปุ่น เหรียญ 500, 100 และ 10 เยน ได้ใช้บ่อย

การเดินทางไปญี่ปุ่นและเมืองโอโนมิจิ

ทริปนี้เราขึ้นรถไฟจากอุดรธานีตอนหัวค่ำไปถึงสถานีกรุงเทพอภิวัตน์ตอนเช้ามืด แล้วไปรอที่โรงแรมเพื่อขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิที่จะบินตอน 23.50 น. พอสองทุ่มรถโรงแรมไปส่ง ถึงสนามบินมองดูมอนิเตอร์ก็ไม่เห็นเลขเครื่องตัวเอง นั่นไงไปผิดสนามบิน เพราะเคยแต่ขึ้นเครื่องไปต่างประเทศจากสนามบินสุวรรณภูมิ

ต้องไปสนามบินดอนเมือง.. มองดูเวลาแล้ว คาดว่ายังพอทันที่จะใช้รถ Airport Shuttle Bus จากสนามบินสุวรรณภูมิไปได้ รถบัสฟรีไปตรงๆ แค่แสดงพลาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินก็พอ โชคดีจราจรไม่ติดขัดแต่ก็ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง ถึงดอนเมืองใกล้สี่ทุ่ม ยังพอมีเวลาก่อนเครื่องออกสองชั่วโมง โหลดกระเป๋าทันเวลา

สายการบินแอร์เอเชียออกตรงเวลา ขึ้นเครื่องปุ๊บ พี่ก็หลับปั๊บ กำลังงีบแซบๆ ร้านขายของแอร์เอเชียเปิดตอนตีสามครึ่ง ยังไม่ทันได้นอนต่อ แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามา แอร์เริ่มแจกอาหารสำหรับคนที่จองมาและคนที่สนใจ

และแล้วเครื่องบินลงจอดหกโมงเช้า ถึงญี่ปุ่นด้วยสภาพเหมือนนกฮูกตาโพลงที่ไม่หลับ แล้วไปปั่นจักรยานขึ้นเขาต่อ

หลังรับกระเป๋า เรานั่งรถบัสออกจากสนามบินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อเดินทางไปเมืองโอโนมิจิ (Onomichi)

ออกจากสนามบินฟุกุโอกะ ขึ้นรถ shuttle bus ที่เขียนว่า Domestic Terminal-Subway ฟรี ไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ
รถบัสจอดที่ทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน Subway Airport line, Fukuoka Airport Station เพื่อไปสถานีฮากาตะ (Hakata) ที่สถานีฮากาตะสามารถซื้อตั๋วรถไฟชินคันเซ็นไปเมืองโอโนมิจิ
เราได้ตั๋วมาสองใบเพราะมีเปลี่ยนขบวนระหว่างทาง ที่ช่องตรวจตั๋วจะใส่ตั๋วทั้งสองใบพร้อมกัน (ถ้าไม่มั่นใจมีเจ้าหน้าที่บริเวณช่องตรวจตั๋ว ขอความช่วยเหลือได้)
สถานีฟุคุยามะ สถานีที่เราลงเปลี่ยนขบวนรถไฟ วิวด้านหลังเป็นปราสาทฟุคุยามะ เสียดายไม่มีเวลาไปดู เพราะเราวางแผนเริ่มปั่นบ่ายนี้เพื่อไปถึงที่พักบนเกาะก่อนมืด มองจากด้านนอกปราสาทแห่งนี้ยังสวยงามมาก

เรามาถึงเมืองโอโนมิจิ จ.ฮิโรชิมะ ตอนประมาณ 10.30 น. ของวันที่ 7 เมษายน อากาศเย็นสดชื่นดีมาก อุณหภูมิประมาณ 10-18 องศาเซลเซียส ฟ้าใส ไม่มีฝน

เราเอาข้าวของที่ไม่ได้ใช้ตอนปั่นใส่กระเป๋าลากใบเล็ก ฝากที่ร้านแมวดำยามาโตะ (Yamato Transport) ซึ่งมีบริการรับฝากสัมภาระ ร้านแมวดำอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟในย่านโอนิมิจิฮอนโดริ (Hondori Shopping Street) ซึ่งเป็นตลาดชอปปิ้ง

เมืองโอโนมิจิ มีทั้งบริเวณทันสมัย แต่ที่มีเสน่ห์คือจะเห็นการสร้างบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่นที่ไต่ระดับขึ้นเขาไป คล้ายกับเมืองชายทะเลยุโรป ประชากรเมืองนี้มีอยู่ราวๆ แสนกว่าคน
รูปปั้นของฟุมิโกะ อายาชิ ที่ย่านชอปปิ้งโอนิมิจิฮอนโดริ ฟุมิโกะเป็นนักเขียนบทกวีและนวนิยายชื่อดัง รูปปั้นหล่อโลหะในท่านั่งมองทะเลของเธอเป็นดังสัญลักษณ์ของเมือง โดยเมืองโอนิมิจิคือบ้านของเธอในสมัยยังเป็นวัยรุ่น

หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จ เราเดินหาอะไรทานในย่านนี้ ที่นี่เองก็มองเห็นร้านจักรยานให้เช่าอยู่หลายร้าน แต่เราจองจักรยานผ่านเว็ปไซต์มาตั้งแต่อยู่ที่เมืองไทย

ร้านที่เราจองจักรยานมา ดูจะเป็นที่นิยมพอสมควร เพราะเห็นมีลูกค้าอยู่หลายคน ร้านนี้อยู่ใต้บริเวณที่จอดรถยนต์สองชั้นชื่อ Onomichi Station port parking (Ekimae Kowan Parking) ไม่ไกลจากท่าเรือที่จะข้ามไปเกาะแรก

เราได้คุณลุงพนักงานมาช่วยหาจักรยาน จักรยานในเวปไซต์ไม่มีตัวเลือกแบบมีตะแกรงหลังให้เลย คิดแล้วว่าต้องแบกกระเป๋าใส่หลังจนแอ่น ลุงแกจูงจักรยานมาให้เราลองขี่ ปรับความสูงที่นั่ง เช็คเบรก ฯลฯ แต่พอเหลือบไปเห็นกองกระเป๋าแล้วรู้ว่าเป็นของเรา แกเลยเดินไปเสาะหาจักรยานใหม่ที่มีตะแกรงหลังให้ทันที จากนั้นก็สอนมัดกระเป๋าโดยเอาเศษยางในมามัดสัมภาระให้ ยางในมัดแน่นใช้งานดีมากจนจบทริปก็ยังไม่ขาด ขอบพระคุณคุณลุงมา ณ โอกาสนี้

เราร้านเช่าจักรยานที่ Onomichi Station port parking มีหมวกกันน็อคให้ยืม ที่นี่ไม่มีรับฝากกระเป๋า ราคาเช่าจักรยานแบบมีเกียร์อยู่ที่ 3,000 เยนต่อวัน (ประมาณ 680 บาทต่อวัน)
ร้านอื่นไม่ไกลจากท่าเรือชื่อ Onomichi Base เห็นมีจักรยานทั้งแบบธรรมดาและอีไบค์ มีป้ายรับฝากกระเป๋า ราคาเช่าจักรยานแบบอีไบค์ต่อวัน อยู่ที่ 7,000 เยน (2 วัน 13,000 เยน) ถ้าแบบเกียร์อยู่ 3,500 เยน (2 วัน 6,000 เยน) และมีหมวกกันน็อคให้ยืม
อาหารมื้อแรกเป็นข้าวแกงญี่ปุ่นแบบมังสวิรัตน์ที่ร้าน Coyote ตลาด Hondori Shopping Street (อาหารธรรมดาทั่วไปตามร้านประมาณจานละ 180-250 บาท)
กำหนดการที่จะปั่นไปให้ถึงที่พักของวันนี้ ประมาณ 25 กิโลเมตร

วันที่ 1 ข้ามไปเกาะมุไคชิมะ (Mukaishima Island) พักที่เกาะอินโนชิมะ (Innoshima Island) ชิมะ แปลว่า เกาะ

เราขึ้นเรือเฟอรี่เพื่อข้ามไปเกาะแรกคือ มุไคชิมะ ตอนเกือบบ่ายโมง และจะปั่นต่อเพื่อไปถึงที่พักที่จองไว้สำหรับคืนนี้อีก 25 กม. โดยปั่นเลาะชายฝั่งทางราบ ขึ้นเขา ข้ามสะพาน และขึ้นเขาอีกที เพราะที่พักอยู่เกาะที่สองคือ อินโนชิมะ

เส้นทางต่างๆ ที่แนะนำบนแผนที่การท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลในมีทั้งเดินทางแบบสั้นและยาว ร้านเช่าจักรยานที่เราใช้มีแผ่นพับแผนที่แจก
คุณลุงอีกท่านที่ปั่นจักรยานเหมือนกัน ใจดีและน่ารักมากๆ ตอนรอเรือเฟอรี่อยู่ มาคุยด้วย แล้วก็แนะนำว่าจะขึ้นเรือยังไง จ่ายตรงไหน เท่าไหร่ เราก็เดาถูกจากท่าทางคุณลุงล้วนๆ เพราะฟังญี่ปุ่นไม่ออก

เราอยู่บนทางชิมะนะมิไคโดที่มีเส้นสีฟ้าบนพื้นถนนได้ไม่นาน ก็เลี้ยวซ้ายออกไปอีกทางเพื่อไปเส้นรอบเกาะ ซึ่งเส้นทางรอบเกาะมุไคชิมะนี้ อยู่ในเส้นทางแนะนำปั่นระยะสั้น 20 กม. สามารถปั่นเสร็จในหนึ่งวัน แล้วนั่งเรือเฟอรี่ข้ามกลับไปนอนที่เมืองโอโนมิจิได้

ออกจากท่าเรือเฟอรี่จะมีเส้นสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของเส้นทางชิมะนะมิไคโด ใครใช้เส้นทางนี้ตามได้เลย
เราออกจากเส้นทางชิมะนะมิไคโด เลี้ยวเข้าเส้นทางรอบเกาะ ถนนโล่งมาก ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ไปเรื่อยๆ
ถนนชายฝั่ง เกาะมุไคชิมะ
วิวเกาะเล็กๆ จากเกาะมุไคชิมะ
โคมไฟส่องสว่างยามค่ำคืนตามแนวชายฝั่งในสมัยโบราณอายุ 300 กว่าปี อยู่ที่ศาลเทพเจ้าบนเกาะมุไคชิมะ
ศาลเทพเจ้าที่อยู่บริเวณริมฝั่งบนเกาะมุไคชิมะ

เราปั่นมาถึงสะพานอินโนชิมะ สะพานแห่งนี้ใช้ข้ามระหว่างเกาะมุไคชิมะไปยังเกาะอินโนชิมะ ทางจักรยานอยู่ใต้ทางรถยนต์ ซึ่งเป็นทางตรงยาวถึง 1,270 เมตร สะพานแห่งนี้ถือว่าใหญ่เป็นอันดับสามของโลก

ทางจักรยาน สะพานอินโนชิมะ
สะพานอินโนชิมะ ที่มีด้านบนสะพานแขวนเป็นทางรถยนต์ ใต้สะพานเป็นทางจักรยาน
บนเกาะอินโนชิมะ (因島, Innoshima Island)
ถนนแห่งดอกซากุระ
ทางขึ้นเขาลัดเลาะหมู่บ้านไป
ไต่ขึ้นเขาบนเกาะอินโนชิมะ ไม่ชันมากพอปั่นไหว
ศาลเจ้าเล็กๆ ระหว่างทาง บรรยากาศเงียบสงบ ต้นซากุระอวบๆ ไม่สูงมากปลูกประดับภายในศาลเจ้า ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
บริเวณหน้าศาลเจ้ามีป้ายหลุมศพบรรพบุรุษ รวมถึงฝั่งตรงข้ามของถนนเส้นนี้ ก็ยังมีตั้งอยู่นับพันตามเนินเขาสูงขึ้นไป แสงท้องฟ้ายามเย็นทำให้ดูสวยงาม รู้สึกสงบมากกว่าดูน่ากลัว
สถานที่อันสงบแห่งนี้อยู่ก่อนถึงที่พักเราประมาณครึ่งชั่วโมง
เมืองที่เรานอนอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือเฟอรี่ Karoto Ferry Port ที่จะใช้บริการเรือเฟอรี่ในวันพรุ่งนี้ เรามาถึงที่พักประมาณบ่ายสี่โมงเย็น ไม่ไกลจากที่พักจะมีร้านสะดวกซื้อ และย่านธุรกิจเล็กๆ ที่เปิดตอนสาย
เราพักที่โรงแรม Hub Inn ด้านล่างมีที่จอดจักรยานให้อย่างดี ด้านบนเป็นที่พักที่ห้องกว้างและสบายมาก มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น ไมโครเวฟ กาน้ำ ฯลฯ
อาหารเย็นจากร้านสะดวกซื้อ เติมพลังงานในราคาประหยัด อาหารสดที่ขายในซุปเปอร์ บรรจุภัณฑ์อาหารบางอย่าง เหมาะสำหรับทานเย็น พอเอาเข้าไมโครเวฟโดนความร้อนก็จะเปลี่ยนรูปทันที เช่น ไข่ต้มใส่ซอสหวาน สำหรับข้าวปั้นร้านอุ่นให้ แพ็คเก็จนี้ไม่มีปัญหา (กูลเกิลใช้แปลแล้ว ไม่เห็นคำ แปลแปลกๆ หรืออาจจะมีเครื่องหมายบางอย่างที่ไม่รู้)
อาหารมังสวิรัตน์ที่มักมีขายในซุปเปอร์ มีผัดหน้าตาแบบนี้ ทานกับข้าวปั้นอร่อย บางทีก็เป็นสาหร่ายที่รสชาติออกหวานๆ หรือเค็มๆ ได้น้ำผลไม้อีกซักกล่อง ครบเลย!

วันที่ 2 จากเกาะอินโนชิมะไปถึงเกาะอิวากิ

เส้นทางการเดินทางวันนี้ (ตามวงสีแดง) จากโรงแรม Hub Inn ปั่นไปขึ้นเรือเฟอรี่ข้ามไปเกาะยูกิ แล้วก็ไปตามเกาะต่างๆ ข้ามเกาะโดยใช้สะพานข้าม และเรือเฟอรี่ จนถึงที่พักเรียวกัง บนเกาะโอชิมะ
อุโมงค์ยาว ทางไปท่าเรือเฟอรี่ Karoto Ferry Port
ท่าเรือเฟอรี่ Karoto Ferry Port ข้ามไปอีกฝั่งคือเกาะยูกิ
เรือเฟอรี่พาเราข้ามไปยังเกาะยูกิที่อยู่ไม่ไกล
อู่ต่อเรือขนาดใหญ่บริเวณใกล้ท่าเรือเฟอรี่ของเกาะอินโนชิมะ
เกาะยูกิ หรือยูกิชิมะ (弓削島, Yuge Island, ) ชิมะ แปลว่า เกาะ
เพียงแค่สิบกว่านาทีจากท่าเรือเราก็ปั่นขึ้นเขา
ศาลเจ้าที่มีหินแกะสลัก พบได้บ่อยๆ ตามริมถนน
เส้นทางรอบเกาะยูกิ มองเห็นทะเลสีเงินกว้างใหญ่สวยงามมาก
ซากุระบนเกาะยูกิ
บ้านริมชายฝั่งทะเลเกาะยูกิ
สะพานโยเกโอะ ข้ามระหว่างเกาะยูกิไปเกาะซาหรือซาจิมะ(Sa Island, 佐島)
วิวบนสะพานโยเกโอะ
วิวเกาะซาจากบนสะพานโยเกโอะ
วิวสะพานโยเกโอะ (弓削大橋, Yugeo Bridge) บนเกาะซา
เส้นทางเลาะชายฝั่งเกาะซา
สะพานอิกินะ (生名橋, Ikina Bridge) จากเกาะซาไปยังเกาะอิกินะ
วิวจากสะพานอิกินะ
ห้องน้ำสาธารณะ (公衆トイレ, Kōshū toire) ที่ปลายสะพานอิกินะ เข้าฟรี สะอาดมาก
เกาะอิกินะ เส้นทางพาเราผ่านร้านสะดวกซื้อชื่อ Popura Ikinaten มีโต๊ะด้านหน้าพอนั่งพักได้ ฉันได้หมี่เย็น ผักลวก สาหร่าย และเห็ด เป็นอาหารเที่ยง บริเวณนี้มีห้องน้ำสาธารณะอยู่ไม่ไกล อยู่ถนนอีกเส้นอ้อมด้านหลังร้านไปติดริมทะเล
พุดดิ้งซอสคาราเมล ของหวานจากร้านสะดวกซื้อ
ถนนบนเกาะอิกินะ
สะพานอิวากิ (Iwagi Bridge) ข้ามจากเกาะอิกินะไปยังเกาะอิวากิ วันนี้มีกระแสลมแรงมาก แต่ละสะพานต้องปั่นสู้ลมถึงขั้นลงเข็น ที่เกาะอิวากิจะมีท่าเรือเฟอรี่เพื่อไปที่เกาะโอซิมะ
หมู่บ้านบนเกาะอิวากิ
แปลงปลูกข้าวบนเกาะอิวากิ
เส้นทางรอบเกาะอิวากิ
ห้องน้ำสาธารณะในเส้นทางนี้
มาถึงร้านของที่ระลึกและร้านอาหาร Lemon Heart ที่นี่เราจะมารอขึ้นเรือ และซื้อตั๋วโดยสารเรือเฟอรี่ เพื่อไปยังเกาะโอชิมะ (Ōshima Island)
ตู้ขายตั๋วเรือเฟอรี่ในร้านขายของที่ระลึก Lemon Heart
ถ้าไปซื้อตั๋วที่ร้านขายของที่ระลึก จะมีบัตรรถจักรยานขึ้นเรือเฟอรี่ให้ฟรี เป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวทางจักรยาน kamijima บนเกาะอิวากิ / จากท่าเรือนี้จะไปเกาะโอชิมะ เราจะซื้อตั๋วไปลงที่ท่าเรือเฟอรี่ชื่อTomoura (ตามชื่อในตั๋ว)
ตารางเวลาเรือเฟอรี่ อยู่ตรงที่ขายตั๋ว
ในร้านมีทั้งเครื่องดื่มและเบอเกอรี่ที่ทำจากเลม่อนที่ปลูกมากมายบนเกาะ
นอกจากเลม่อนแล้ว ก็ยังมีส้มแมนดารินที่เป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญของเกาะแห่งนี้ มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว
รากบัวทอด รสเลม่อน
เลม่อนฮาร์ทเค้กทานคู่กับเลม่อนขิงโซดา
ผลิตภัณฑ์น่าสนใจอื่นๆ ในร้านก็มี เช่น ขนมที่ใส่กลีบซากุระ
ตรงข้ามร้านขายของที่ระลึก Lemon Heart จะเป็นท่าเรือเฟอรี่ที่จะไปเกาะโอชิมะ
ภายในเรือกว้างขวาง ตอนขึ้นเรือมีเจ้าหน้าที่มาช่วยยกจักรยานเอาไปไว้ท้ายเรือ ส่วนคนกับกระเป๋านั่งด้านใน และถ้าไม่ได้ซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋ว ก็สามารถซื้อกับพนักงานบนเรือได้ แต่จะมีค่าจักรยานด้วย
เรามาถึงท่าเรือ Tomoura บนเกาะโอชิมะราวบ่ายสามโมง
เส้นทางไต่ตามหมู่บ้านและภูเขาบนเกาะโอชิมะ
เข็นขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ไม่ชันมาก แต่ก็ปั่นยากแล้ว
เหลียวหลังมองไปยังที่ที่จากมา ท้องทะเลก็อยู่เบื้องล่างยิ่งไกลออกไป
ถึงอิมะบะริ จังหวัดเอะฮิเมะ ญี่ปุ่น ตอนเย็นพอดี
ที่พักวันนี้ชื่อ Setouchiso เป็นเรียวกังหรือโรงแรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่นี่มีอาหารเย็นและอาหารเช้า เป็นสถานที่พักที่เงียบสงบมาก ห้องนอนมีฟูกนอนบนพื้น มีโต๊ะตรงกลางที่มีเครื่องทำความร้อนใต้โต๊ะ มีเสื้อให้เปลี่ยนสำหรับใส่ไปอาบน้ำและทานข้าว บานประตูไม้ของห้องเลื่อนเปิดปิดแทบจะไม่มีเสียงใดๆ ห้องพักสะอาด กลางคืนเราไม่เปิดเครื่องทำความร้อน เพียงเปิดหน้าต่างอากาศก็พอดีนอนกับผ้าห่มหนาๆ
ห้องอาบน้ำแบบเรียวกังจะเป็นห้องอาบน้ำรวม แยกหญิงชาย วิธีการใช้ คือ อาบฝักบัว ฟอกสบู่ สระผม ชำระล้างร่างกายให้สะอาด แล้วค่อยลงแช่ในอ่างน้ำอุ่นประมาณ 10 นาที พอร่างกายอุ่นแล้ว ก็ค่อยขึ้นมาอาบฝักบัวล้างตัวอีกครั้ง ส่วนเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวเอาไว้ด้านนอกห้องอาบน้ำ ห้องน้ำแบบนี้เราก็เปลือยอาบเหมือนเช่นดังคนอื่นๆ นั้นแล
ห้องทานข้าวของเรียวกัง แยกเป็นสัดส่วนมีผนังกั้นให้แขกแต่ละกลุ่ม ทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัว
อาหารเย็นแบบมังสวิรัตน์ เราแจ้งทางโรงแรมตอนมาถึง โรงแรมก็จัดให้ตามขอได้และอร่อยมาก : )
อาหารเช้าแบบเบาๆ ก่อนออกเดินทางต่อ

ต่อตอนที่ 2 คลิ๊กที่นี่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *